กัญชา การใช้เพื่อเป็นยาในอดีต

วันนี้ขออนุญาตอรรถาธิบายเรื่องประวัติและจะนำมาพัฒนาใช้ในปัจจุบันได้อย่างไรดี

อันว่ากัญชานั้นได้เริ่มเป็นที่รู้จัก และนำมาใช้กันตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่ยังไม่ได้ถูกสร้างออกมาให้เป็นตัวยาที่ประกอบกับสมุนไพรไทยอย่างอื่น ให้เป็นสูตรยาที่นำไปรักษาโรคแต่ละอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ ต่อมาจนมาถึงสมัยของรัชกาล 5 สมเด็จพระปิยะมหาราชได้พัฒนาการใช้ยาจากต้นกัญชาไปอีกระดับหนึ่ง โดยใช้ทั้งต้น ดอก ใบ และราก ด้วย ก็คือใช้มันหมดทั้งต้นเลย ซึ่งก็ได้สร้างสูตรยาที่รักษาโรคหลายอย่างที่มีสรรพคุณสูง โดยใช้ร่วมกับสมุนไพรไทยตัวอื่นๆอีกหลายชนิด และก็ได้ตั้งชื่อตัวยาแต่ละอย่างไว้ทุกตัว พร้อมกับกำหนดสูตรส่วนผสมของยาเอาไว้ด้วย เช่น ยาสนั่นไตรภพ ยาสุขไสยาสน์ ยากำลังราชสีห์ และยาพรหมพักตร์ ดังนี้เป็นต้น

ในสมัยนั้น หมอบรรพบุรุษของเราได้ค้นพบว่า ต้นกัญชาที่ดีที่สุดในเมืองสยาม จะเกิดขึ้นที่เทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร ที่บริเวณเทือกเขาภูพานนั้น แนวภูเขาจะอยู่ในแนวทิศเหนือทอดยาวไปยังทิศใต้ ทำให้ด้านหนึ่งของเทือกเขาจะได้รับแสงแดดอ่อนในตอนเช้า และแนวเทือกเขาจะบังแสงแดดในตอนเย็นพอดิบพอดี จึงทำให้ได้พบกับภูมิประเทศที่เหมาะสมในการปลูกต้นกัญชาเป็นอย่างยิ่ง เหล่าหมอบรรพชนของเราจึงจัดขบวนคาราวานออกเดินทางไปยังเทือกเขาภูพาน เพื่อไปเก็บดอกกัญชากันทุกปี ในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูต้นกัญชาออกดอก ทั้งที่พื้นที่ดินรอบกรุงรัตนโกสินทร์ก็ยังมีที่ให้ปลูกต้นกัญชาได้อีกมาก ต่อมาหมอบรรพชนของเราก็ได้พยายามที่จะค้นคว้าหาตัวยาหลายชนิด มาต่อสู้กับโรคในขณะนั้น ด้วยการนำมาใช้ร่วมกับสมุนไพรไทยตัวอื่นอีกหลายตัว ไม่ค่อยได้ใช้กัญชาเป็นยาเชิงเดี่ยว แต่ว่าการปรุงยาในยุคนั้น มันไม่ค่อยจะได้ผลดีเท่าไร เนื่องจากว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังไม่มีระบบไฟฟ้าใช้ จึงยังไม่มีห้องแลปมาตราฐาน ที่จะทำการสกัดตัวยาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะยังขาดแคลนเครื่องมือกลอุปกรณ์ไฟฟ้า พร้อมทั้งก็ยังไม่มีสารเคมีระดับมาตราฐานที่จะนำมาใช้ในขบวนการสกัดตัวยาด้วย ยกตัวอย่างเช่น สารแอลกอฮอลล์ 99.99% อันเป็นสารหลักที่จะนำมาใช้ในขบวนการสกัดกัญชา เพื่อที่จะดึงสารตัวยาออกมาให้ได้มากที่สุด หมอบรรพชนของเราก็เลยหันไปใช้วิธีการต้มเหล้าเถื่อน เพื่อจะหาสารแอลกอฮอลล์มาใช้งาน แต่ว่าขบวนการต้มเหล้ามันก็จะสามารถทำแอลกอฮอลล์ใหับริสุทธิ์ได้แค่ 40-50% เท่านั้นเอง ซึ่งสารแอลกอฮอลล์ที่จะนำมาสกัดให้มีประสิทธิภาพ จะต้องใช้แอกอฮอลล์ที่มีความบริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่า 95% ด้งนั้นเหล่าหมอบรรพชนก็เลยต้องใช้วิธีดองเหล้า หรือการหมักกัญชาในเหล้าเป็นเวลานานนั่นเอง วิธีนี้ก็จะสามารถดึงสารตัวยาออกมาจากกัญชาได้เพียงเล็กน้อย มันยังไม่มีประสิทธิภาพสูงพอที่จะนำมาใช้รักษาโรคร้ายเหมือนเช่น โรคมะเร็ง และคนป่วยที่ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว เพราะโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อต้องดื่มยาดองเหล้าผสมกัญชา ร่างกายจึงรับไม่ไหว เกิดอาการมึนเมาและอาการก็จะทรุดลงแทนที่จะดีวันดีคืน อันนี้ก็เป็นจุดอ่อนของการผลิตยาสมุนไพรผสมกัญชาในสมัยโบราณ ก็เพราะยังขาดแคลนไฟฟ้าและสารเคมีที่จะนำมาใช้งานได้อย่างดี
ต่อมาในยุคปัจจุบัน ที่โลกของเราก็มีระบบไฟฟ้าใช้แล้ว มีสารเคมีที่ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตราฐาน ที่สามารถจะกำหนดค่าความบริสุทธิ์ของสารได้ตามต้องการ แต่ว่าโชคร้ายที่เมื่อปี พ.ศ. 2522 ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการให้กัญชาเป็นยาเสพติดร้ายแรงของโลก ประเทศไทยจึงต้องยอมรับกฎเกณฑ์ของสหประชาชาติ ด้วยการออกกฎหมายให้กัญชาเป็นยาเสพติดประเภท 5. หลังจากนั้นศาสตร์ของกัญชาบำบัดก็ต้องหยุดชะงักไป จนถึงบัดนี้ก็เป็นเวลานานกว่า 40 ปีมาแล้ว อันที่จริงในช่วงที่ผ่านมา เมืองไทยก็น่าจะมีโอกาสได้พัฒนาการใช้สารกัญชามารักษาโรคร้ายแรงอย่างเช่น โรคมะเร็งในบางตำแหน่งที่มันสามารถจะรักษาได้ หรือแม้กระทั่งโรคเรื้อรังรักษาไม่หายอย่างเช่น โรคคนแก่ พวกอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ดังนี้เป็นต้น แต่เนื่องจากฎหมายที่เข้มงวด ถึงแม้โลกยุคนี้จะมืเครื่องมืออุปกรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่บังเอิญไม่มีวัตถุดิบที่ถูกกฎหมายมาให้ใช้ จึงทำให้ศาสตร์กัญชาบำบัดต้องหยุดไป 40 กว่าปีมาแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีโชคดีที่รัฐบาลจะเปิดกัญชาเสรีในเร็ววันนี้ ทำให้แพทย์แผนไทยจะได้มีโอกาสที่จะเอาเครื่องมือและอุปกรณ์ทันสมัย หรือว่าสารเคมีที่ต้องการใช้ ซึ่งหาซื้อได้ง่ายในท้องตลาดทั่วไป นำเอามาทำการวิจัยพัฒนาร่วมกับวัตถุดิบที่ถูกต้องตามกฎหมายในขั้นตอนต่อไป เพื่อจะให้ได้ตัวยาที่สมบูรณ์แบบ สำหรับใช้รักษาโรคร้ายแรง ซึ่งยาแผนปัจจุบันก็ยังไม่อาจจะรักษาได้เช่น โรคมะเร็งหรือโรคเรื้อรังโดยทั่วไป ถ้าหากว่าเรามีเครื่องมือที่ดี ก็จะสามารถสกัดตัวยาได้ออกมาเกือบบริสุทธิ์ ทำให้สามารถกำหนดตัวยาให้มีปริมาณของสารประกอบในยา วัดเป็นหน่วย mg. ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งถ้าหากว่าทำได้ดังนี้ ก็จะได้ยากัญชาที่มีประสิทธิภาพสูง และจะไม่ทำให้ผู้ป่วยต้องมึนเมาด้วย
ดังนั้นสิ่งแรกที่จะต้องลงมือทำภายหลังจากที่กัญชาได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นยารักษาได้ก็คือ จะต้องศึกษาวิธีการสกัดสารกัญชาอย่างถูกวิธี แล้วนำมาประกอบเป็นตัวยาที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งมันจะแตกต่างกับยาแผนไทยแบบโบราณที่เคยใช้มามากนัก ส่วนเรื่องวิธีการรักษานั้น เมื่อได้ตัวยาที่ดีมาเพื่อใช้รักษาผู้ป่วย มันก็ควรเอายานี้มาใช้ร่วมกับขบวนการทางแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งพวกเขาจะมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากและประสิทธิภาพสูงด้วย ที่จะสามารถวิเคราะห์สาเหตุของโรคหรือติดตามดูอาการของผู้ป่วย ขณะที่กำลังอยู่ในระหว่างขบวนการรักษา อย่างเช่น เครื่องมือไฟฟ้าแบบต่างๆที่ถูกออกแบบมาได้แก่ เครื่อง X-ray, เครื่อง ultrasound, เครื่อง MRI เป็นต้น พร้อมทั้งห้องแลปวิเคราะห์ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายที่ต้องการจะทราบ ซึ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆเหล่านี้ในสมัยรัชกาลที่ 5. ก็ยังไม่มีให้ใช้ ท่านหมอบรรพบุรุษของเราต่างก็ต้องใช้วิธีสังเกตอาการป่วยและคาดคะเนกันเอาเอง จึงทำให้วิธีการรักษาไม่ค่อยจะได้ผลดีนัก ดังนั้นการที่จะได้มีโอกาสในครั้งนี้ที่จะนำเอาเครื่องมือทันสมัยของการแพทย์สมัยใหม่ ไปใช้ร่วมกับยาแผนโบราณที่มีสรรพคุณสูงดังเช่นสารกัญชา มันก็จะเป็นข้อได้เปรียบเป็นอย่างมาก สำหรับการรักษาแบบกัญชาบำบัดในโลกยุคต่อไป ซึ่งมันก็น่าจะเป็นผลดี ที่จะช่วยให้การพัฒนาด้านนี้ ก้าวหน้าไปได้รวดเร็วกว่าสิ่งที่ได้ทำมาในอดีต
ดังนั้นมันจึงถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ที่เริ่มเดินหน้าศึกษาค้นคว้าและพัฒนา ศาสตร์ของกัญชาบำบัดกันต่อไป ซึ่งในเมืองไทยนั้นมันมีภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีสายพันธุ์กัญชาที่ยอดเยี่ยมคือ สายพันธุ์ Sativa หรือที่เรียกว่า หางกระรอกก้านแดง อันเป็นที่นิยมและได้รับการยกย่องกันทั่วโลกมานานแล้ว ขอเพียงแต่ให้รัฐบาลของเราได้ปลดล้อคกัญชาออกจากกลุ่มยาเสพติดให้โทษ และก็อนุมัติให้นำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้โดยถูกกฎหมายทุกประการ

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.